อายุยังน้อยแต่ถูกคุกคามจนเกิดอาการ
ประมาทไม่ได้โดยเด็ดขาดสำหรับ
“โรคหลอดเลือดสมอง”...ตัวการสำคัญในลำดับต้น ๆ ที่จำมาทำร้ายร่างกายผู้คนจนอาจต้องกลายเป็นคนทุพพลภาพหรือหนักกว่านั้นก็
“ถึงแก่ชีวิต” ได้ด้วยไม่ว่าจะเป็น...ภาวะหลอดเลือดสมองอุดตัน...หลอดเลือดสมองตีบ...หรือ...หลอดเลือดสมองแตก
โดยที่แนวทางการรักษาจะขึ้นอยู่กับอาการเป็นหลักและเน้นการรักษาที่ตรงจุด...ทั้งนี้
ประเด็นที่ต้องคำนึงถึงอย่างยิ่งยวดคือ “เวลา” สำหรับการรักษาโรคนี้หลังเกิดอาการ...เพราะยิ่งผู้ป่วยได้รับการช่วยเหลือเร็วเท่าไหร่ก็จะยิ่งเป็นโอกาสให้หายหรือฟื้นคืนสู่ความเป็นปกติได้มากขึ้นเท่านั้น!!...แต่ยังมีอีกประเด็นที่
“อุ่นใจ...ใกล้หมอ” ไม่อยากให้มองข้ามได้แก่เรื่องของ “วัย” เพราะอาจมีหลายท่านที่เข้าใจผิดคิดว่าโรคนี้จะมีแต่
“ผู้สูงวัย” เท่านั้นที่จะตกเป็นเหยื่อ...ดังจะเห็นได้จากกรณีของ “คุณธนันวิชช์
วงศ์พุฒิสิริ” ซึ่งมีอายุอานามเพียง 30 ปี
แต่เกือบเจอ “ปัญหาใหญ่” เข้าให้โดยไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว
และหลังจากได้รับการบำบัดรักษาพ้นภาวะน่าห่วง แล้วก็ได้เผยประสบการณ์ครั้งสำคัญโดยลำดับความให้ทราบดังนี้
“...เริ่มแรกหลังจากเกิดอาการก็คิดว่ามีความผิดปกติบางอย่าง
จึงไปรับการตรวจรักษาครั้งแรกที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง เพราะมีอาการปวดหัวบ่อย ๆ และหนักขึ้นจนลุกแทบไม่ไหวแล้ว
โดยคุณหมอได้ให้ตรวจเพิ่มเติมด้วยการทำ CT-scan และ MRI จึงพบความผิดปกติบางอย่าง ซึ่งคุณหมอสันนิษฐานว่าอาจมีความเสี่ยงกับ
โรคเส้นเลือดในสมองตีบตัน คุณหมอจึงให้ยาสลายลิ่มเลือด ยาลดความดัน
ยาแก้ปวดไปรักษาอาการ แต่พอยาหมดอาการปวดหัว เวียนหัวก็กลับมาอีก จึงกลับไปพบโดยหวังให้ได้รับการตรวจเพิ่มแต่ดูแล้วเห็นว่าที่นั่นยังขาดความพร้อม
ผมจึงขอให้เขาช่วยประสานส่งต่อมารักษาที่ ศูนย์สวนหลอดเลือดสมอง โรงพยาบาลลานนา
เพราะเชื่อว่าจะมีความพร้อมมากกว่าครับ...”
ข้อมูลป้องกันภัย “โรคหลอดเลือดสมอง”
กรณีของ
“คุณธนันวิชช์”
ถือได้ว่าเป็น
“กรณีศึกษา” ที่จะช่วยลดปัญหาภัยคุกคามจาก “โรคหลอดเลือดสมอง”
ด้วยการรับข้อมูลข้อเท็จจริงและสามารถบอกกล่าวเล่าสู่ญาติสนิทมิตรสหายให้ตระหนักและระมัดระวังภัยที่มาแบบไม่รู้ตัวและอาจเกิดเหตุไม่คาดฝันในวันใดวันหนึ่ง
เนื่องจากข้อมูลที่ผู้ป่วยรายนี้ได้ให้กับคุณหมอไว้นั้นครอบคลุมถึงปัจจัยเสี่ยงหลายต่อหลายอย่างที่เจ้าตัวมิได้คาดคิดมาก่อน
ไม่ว่าจะเป็น...พฤติกรรมในการใช้ชีวิตที่ทำให้มีการพักผ่อนน้อย
มีการสังสรรค์บ่อยครั้ง ประกอบกับการมีความเครียดสะสมจากภารกิจการงานที่ต้องรับผิดชอบ
แม้จะมีวัยเพียง 30 ปี...ซึ่งกลายเป็นปัจจัยเกื้อหนุนให้เกิดอาการ “เวียนหัว-ปวดหัวบ่อย
ๆ-อ่อนเพลียไม่มีแรง และหนักถึงขั้นจะวูบเลยทีเดียว” และตอนที่เกิดอาการในช่วงเริ่มแรกนั้นเจ้าตัวก็มิได้คิดว่าจะเป็นอะไรมากมาย...อาจเป็นเพราะปวดหัวไมเกรนทั่วไปก็ได้เพราะหลังจากกินยาแก้ปวดไปแล้วก็หาย
แต่เหตุที่ชวนให้เกิดความสงสัยในเวลาต่อมาก็เพราะเกิดอาการต่อเนื่องมาเกือบ 2
เดือน จึงตัดสินใจไปพบแพทย์และได้รับการตรวจจึงทราบว่าต้นตอคือ “ภาวะเส้นเลือดสมองตีบชั่วคราว”
หรือ “การที่เลือดไปหล่อเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ” นั่นเอง
ซึ่งข้อมูลที่ “นพ.ณัฐวรรธ
วิฑูรย์...ศัลยแพทย์ระบบประสาท และแพทย์รังสีร่วมรักษาระบบประสาท” ประจำ
“โรงพยาบาลลานนา” ได้อธิบายไว้มีดังนี้
“...หลังจากผู้ป่วยได้รับการส่งต่อมารับการรักษาอาการที่เกิดขึ้นคือเวียนหัว ปวดศีรษะบ่อย ๆ เวียนหัวก็ได้ตรวจเพิ่มเติมด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์หลอดเลือดแดง รวมทั้งได้อาศัยเทคโนโลยีการสร้างภาพหลอดเลือดแดงด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ที่เรียกย่อ ๆ ว่า MRA จึงช่วยให้พบรอยโรคและความผิดปกติบริเวณหลอดเลือดสมอง ซึ่งแม้ว่าผู้ป่วยจะได้รับยาละลายลิ่มเลือดมาทานแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น แพทย์อาจพิจารณาถึงการตรวจรักษาเพิ่มเติมด้วยเทคนิค ใส่สายสวนหลอดเลือดสมองซึ่งคล้ายกับการสวนหัวใจ เพื่อดูว่าหลอดเลือดมีความผิดปกติในแบบใด หากพบว่ามีลิ่มเลือดอุดตันก็จะทำการดึงลิ่มเลือดออกมา หรือให้การรักษาเพิ่มเติมเป็นราย ๆ ไป ซึ่งขึ้นอยู่กับรอยโรคในสมองของผู้ป่วยแต่ละรายครับ
สวนหลอดเลือดสมองผ่านข้อมือครั้งแรกของ จ.เชียงใหม่
ขอแทรกเสริมข้อมูลเกี่ยวกับกรณี
“การสวนหลอดเลือดสมอง”
เพื่อรักษาผู้ป่วยที่เจอลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดสมอง ดังที่มีการใช้มาก่อนนั้น
ตามปกติทั่วไปแล้วจะทำโดยการเจาะเส้นเลือดที่บริเวณขาหนีบของผู้ป่วย
เพื่อเป็นช่องทางสอดสายลวดเข้าไปตามหลอดเลือดใหญ่ไปสู่หลอดเลือดสมองที่มีความผิดปกติ
และทำการรักษาไม่ว่าจะเป็นการลากลิ่มเลือด
หรือการใส่ขดลวดถ่างขยายหลอดเลือดไม่ให้ตีบตันก็ถือว่าเป็นเทคโนโลยีการรักษาที่ไม่น่ากลัว
เพียงแต่ภายหลังการรักษาจะส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการเจ็บบริเวณขาหนีบจึงต้องให้ผู้ป่วยงดใช้บริเวณนั้นชั่วคราว
บังเอิญว่าเป็นบริเวณที่ใกล้กับจุดสงวนจึงอาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกกังวลหรือประหม่าได้เหมือนกัน...ด้วยเหตุนี้
“ศูนย์สวนหลอดเลือดสมองโรงพยาบาลลานนา” โดย “นพ.ณัฐวรรธ วิฑูรย์ ศัลยแพทย์ระบบประสาท
และแพทย์รังสีร่วมรักษาระบบประสาท” จึงได้พัฒนาวิธีการรักษาโดย “การสวนหลอดเลือดแบบใหม่ผ่านทางข้อมือ”
เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า ‘Trans radial Approach Cerebral Angiography’ ซึ่ง “คุณหมอณัฐวรรธ” ให้ความกระจ่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า
“...เป็นเทคนิคการรักษาแบบเดียวกับการเจาะเข้าทางขาหนีบ
หากแต่เจาะผ่านข้อมือเข้าสู่หลอดเลือดสมองที่มีปัญหา
แม้จะเป็นเส้นทางหลอดเลือดที่เข้าถึงยากกว่าทางขาหนีบ แต่ผลการรักษาเป็นที่พึงพอใจมากกว่าการรักษาแบบเดิม
โดยระหว่างการรักษา 1 ชั่วโมงกว่าผู้ป่วยจะรู้สึกตัวตลอดเวลา และหลังการรักษาแล้วเสร็จก็จะใช้เพียงไม้ค้ำยันบริเวณข้อมือไว้ก่อนขณะที่ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ
และนอนพักในโรงพยาบาล 1 คืน ก็ออกไปพักฟื้นต่อที่บ้านได้แล้ว... และกรณีของผู้ป่วยรายนี้ถือเป็นความสำเร็จครั้งแรกของจังหวัดเชียงใหม่ที่สามารถรักษาด้วยเทคนิคผ่านทางข้อมือนี้ได้ครับ...”
ต้องถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่งสำหรับ
“รพ.ลานนา” ซึ่งได้จัดเตรียมศักยภาพด้วยการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้เพื่อการรักษา
จนสามารถทำให้เกิดผลสำเร็จในการ “สวนหลอดเลือดสมองผ่านข้อมือ” เป็นครั้งแรกในจังหวัดเชียงใหม่
โดยมี “คุณหมอณัฐวรรธ” รับบทสำคัญในการพัฒนาเทคนิคการรักษาในลักษณะนี้
ซึ่งสามารถกล่าวได้ว่า...ปัจจุบันนี้จะมีเฉพาะในโรงพยาบาลที่เป็นโรงเรียนแพทย์
และโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่เท่านั้น เพราะนอกจากจะต้องอาศัยแพทย์ผู้มีทักษะและเชี่ยวชาญในการทำหัตถการสวนหลอดเลือดสมองโดยเฉพาะแล้ว
ยังต้องครอบคลุมถึงความพร้อมของอุปกรณ์ ตลอดทั้งแพทย์ผู้มีทักษะและความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของรังสีแพทย์เฉพาะทางรังสีร่วมรักษา
ซึ่งต้องมีความรู้เรื่องของหลอดเลือดและการเอกซเรย์พิเศษต่าง ๆ ซึ่งต้องอาศัยการทำงานประสานกันเป็นทีมของบุคลากรด้านอื่นๆ
เพื่อให้การดูแลผู้ป่วยระหว่างการทำหัตถการให้เป็นไปด้วยความปลอดภัยระหว่างการทำการรักษาควบคู่ไปด้วย
อย่างไรก็ตาม
ถึงแม้ว่าจะได้ประโยชน์มหาศาลจากความก้าวหน้าและนวัตกรรมทางการแพทย์ยุคปัจจุบันมาช่วยให้การวินิจฉัยโรคเป็นไปอย่างแม่นยำ
ตรงจุด สามารถรักษาได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นดังที่ “ศูนย์สวนหลอดเลือดสมอง
โรงพยาบาลลานนา” ได้พัฒนาทางเลือกใหม่ในการรักษาโรคหลอดเลือดทางสมองมาเพิ่มโอกาสการรักษาให้ประสบความสำเร็จยิ่งขึ้นด้วย
“การสวนหลอดเลือดสมองผ่านทางข้อมือ” ดังที่
“หมอจอแก้ว” นำมาสาธยายนี้แล้ว ก็ต้องขอเน้นย้ำไว้ด้วยว่า...อย่าประมาท
“โรคหลอดเลือดสมอง” เด็ดขาด เพราะอาจเกิดขึ้นกับใครก็ได้-ทุกเพศวัย...โดยมีต้นตอจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตของแต่ละท่านนั่นเอง..!!