โรงพยาบาลลานนา เชียงใหม่ ใช้เทคโนโลยี ช่วยในการวินิจฉัย และรักษาโดยการส่องกล้อง www.lanna-hospital.com

30 มีนาคม 2565

“นิ้วเท้าเอียงผิดรูปแต่เด็ก” มาเจ็บปวดทรมานเมื่อวัย 41 รพ.ลานนา “ผ่าตัดรักษาเท้า” กลับมาตรง-หายปวด!!

 

“นิ้วเท้าเอียงผิดรูปแต่เด็ก” มาเจ็บปวดทรมานเมื่อวัย 41
รพ.ลานนา “ผ่าตัดรักษาเท้า” กลับมาตรง-หายปวด!!

เจอปัญหากับตัวเองโดยมิได้คาดคิดมาก่อน

ถึงแม้จะจัดอยู่ในกลุ่ม “คนส่วนน้อย” แต่ไม่ช้าไม่นานก็หนีไม่พ้นต้องเจอปัญหาสุดทนสำหรับคนที่เจอภาวะ “หัวแม่เท้าเอียงผิดรูป” ดังที่เกิดกับหนุ่มใหญ่ชาวเชียงใหม่วัย 41 ปีผู้มีนามว่า “ชาญชัย ทาสุธะ” ซึ่งเจ้าตัวเปิดเผยถึงกรณีที่มาสร้างปัญหาโดยมิได้คาดคิดมาก่อนว่า

“...ภาวะนิ้วเท้าเอียงของผมเป็นมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว เพียงแต่ว่าตอนเด็กนั้นมันไม่ได้มีอาการเจ็บหรือปวดแต่อย่างใด ยังสามารถใช้งานได้เป็นปกติ จะมีก็แค่ลักษณะของกระดูกนิ้วเท้าปูดออกมาแต่ก็ไม่ได้เอียงมากนักและใช้ชีวิตได้เป็นปกติเรื่อยมา และบังเอิญเป็นคนที่ชอบออกกำลังกายมากโดยเฉพาะการวิ่ง และปั่นจักรยาน แต่เมื่ออายุใกล้เข้าเลข 4 ก็เห็นได้ว่าเท้าของตัวเองเริ่มออกอาการเอียงผิดรูปมากขึ้น เริ่มมีการเจ็บเท้าจนไม่อาจใช้งานได้สะดวกดังเดิมจนเริ่มส่งผลกระทบต่อชีวิตผมเมื่อ 2 ปีก่อนและเห็นได้ชัดว่าลักษณะของนิ้วเท้าเอียงมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเห็นปุ่มที่เท้าโตขึ้นอย่างชัดเจน  จนเจ็บเท้ามากเวลาเดินหรือทำงาน รองเท้าเดิมที่เคยใส่คุมงานก็ใส่ไม่ได้แล้วต้องซื้อใหม่โดยเพิ่มขนาดขึ้นอีก ก็ยิ่งทำให้เท้าผิดรูปไปกันใหญ่ เวลาสวมใส่รองเท้าก็รู้สึกว่ามันไม่กระชับ ทำให้ยืนไม่สะดวก ทั้งยังเจ็บจนลามไปปวดเข่าอีก จึงทนไม่ไหวและตัดสินใจไปพบคุณหมอที่ โรงพยาบาลลานนาครับ...”


คุณหมอแจงข้อมูลความผิดปกติของนิ้วเท้า

ดังได้เกริ่นไว้ในตอนต้นแล้วว่า “คุณชาญชัย” อยู่ใน “กลุ่มคนส่วนน้อย” ที่เจอปัญหาดังที่ได้ถ่ายทอดมาให้ทราบใน “อุ่นใจ...ใกล้หมอ” วันพุธนี้ แต่ด้วยเหตุที่กรณีดังกล่าวนอกจากจะมิได้เป็นอันตรายรุนแรงถึงกับเสียชีวิตแล้ว ยังเป็นเรื่องที่สามารถแก้ไขได้ด้วยกระบวนการทางการแพทย์ ซึ่ง “นพ.ปรัชวาล เอี่ยมพร...แพทย์ผู้ชำนาญการด้านกระดูกและข้อ เชี่ยวชาญพิเศษด้านข้อเท้า” ประจำ “โรงพยาบาลลานนา” ได้ให้รายละเอียดว่า

“...ภาวะนิ้วหัวแม่เท้าเอียงผิดรูป มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Hallux Valgus หรือภาวะนิ้วโป้งเท้าเก เป็นลักษณะความผิดปกติของนิ้วหัวแม่เท้าเอียงเข้าหานิ้วชี้ และมีกระดูกหัวแม่เท้าทางด้านในนูนออกมา โดยเป็นภาวะที่มีสาเหตุมาจากพันธุกรรมส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งอาจเกิดมาจากพฤติกรรมการสวมใส่รองเท้า โดยที่ส่วนใหญ่เป็นจากการใส่รองเท้าบีบรัดปลายเท้า...โดยเฉพาะรองเท้าส้นสูงปลายแหลม...จึงพบโรคนี้ได้บ่อยในผู้หญิง ทั้งยังจะพบความผิดปกติของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น การอักเสบของข้อในผู้ที่เป็นโรคข้ออักเสบ...ในระยะแรก ๆ อาจไม่มีอาการผิดปกติใด ๆ แต่อาจสังเกตเห็นนิ้วเท้าตัวเองเอียง-ไม่สวยงาม บางรายอาจพบว่ามีอาการปวดนิ้วหัวแม่เท้า หากสังเกตที่เท้าจะเห็นว่ามีลักษณะเหมือนมีปุ่มกลม ๆ นูนออกมาทางด้านข้างบริเวณข้อนิ้วหัวแม่เท้า ความผิดรูปจะค่อยเป็นค่อยไปพร้อมกับอาการปวดที่โคนนิ้วหัวแม่เท้าที่มากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อนิ้วเท้าเอียงจะทำให้แรงดึงในเส้นเอ็นต่าง ๆ ของนิ้วเท้าผิดแนวไป จึงส่งผลให้เกิดการผิดรูป และเกิดความเจ็บปวดตามมาครับ...”

มีปัญหาที่เท้าต้องให้แพทย์เฉพาะทางด้านเท้ารักษา

ากนั้น “คุณหมอปรัชวาล” ได้อธิบายขั้นตอนการรักษา “ภาวะนิ้วเท้าเอียง” โดยระบุว่า

“...ในเบื้องต้นขณะที่เริ่มพบอาการในระยะแรก ๆ อาจเลือกใส่รองเท้าที่เหมาะสม เลือกให้พอดีกับขนาดเท้า  หรืออาจจะใช้อุปกรณ์ประคองนิ้วโป้งเท้า เช่น เจลคั่นนิ้วเท้า หรืออุปกรณ์กันนิ้วโป้งเบน มาช่วยบังคับมุมมิให้นิ้วโป้งเท้าเกเพิ่มมากกว่าเดิม ทั้งยังจะช่วยให้เอ็นรอบข้อนิ้วโป้งเท้าหย่อนจึงสามารถบรรเทาอาการปวดบริเวณโคนนิ้วโป้งเท้าได้...นอกจากนี้ยังสามารถทำกายภาพบำบัดเพื่อดัด หรือดึงข้อให้กลับมาอยู่ในแนวปกติได้มากที่สุด ทั้งนี้ควรใช้อุปกรณ์เสริมร่วมด้วย รวมไปถึงการรับประทานยา เพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดที่เกิดขึ้น...แต่สำหรับกรณีของผู้ป่วยรายนี้ได้มีอาการปวด และข้อนิ้วเท้าผิดรูปมาก จึงได้แนะนำให้รักษาด้วยการผ่าตัด ซึ่งสามารถเลือกได้หลายวิธี โดยต้องพิจารณาเลือกวิธีที่เหมาะกับผู้ป่วยแต่ละรายต่างกันไปตามลักษณะความผิดปกติของกระดูกนิ้วหัวแม่เท้า...

ทั้งนี้การผ่าตัดภาวะนิ้วหัวแม่เท้าเอียงผิดรูปจะใช้วิธีการผ่าตัดกระดูกที่นูนออก และตัดกระดูก เพื่อแก้ไขภาวะนิ้วผิดรูป แล้วยึดกระดูกด้วยโลหะ ร่วมกับการปรับแต่งกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อรอบๆ โดยการผ่าตัดจะทำให้หายเจ็บเท้า เท้าแคบลง ทำให้เลือกใส่รองเท้าได้ง่ายขึ้น และลดความเจ็บปวดลงที่เกิดขึ้น ซึ่งการผ่าตัดแก้ไขนิ้วเท้าเอียงนี้จำเป็นจะต้องใช้ความชำนาญของแพทย์อย่างมากเนื่องจากลักษณะของนิ้วและเท้ามีความซับซ้อน จึงต้องได้รับการรักษาโดยแพทย์เฉพาะทางด้านข้อเท้าเท่านั้น เพื่อให้ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องในที่สุดนั่นเองครับ...”


ผู้เคยเจอปัญหาเผยประสบการณ์-ให้คำแนะนำ

าดูกันนะครับว่า “คุณชาญชัย” ได้รับประสบการณ์จากการไปเข้ารับการผ่าตัดรักษาปัญหานิ้วเท้าเอียงผิดรูปโดยเป็นคนไข้ของ “นพ.ปรัชวาล เอี่ยมพร...แพทย์ผู้ชำนาญการด้านกระดูกและข้อ เชี่ยวชาญพิเศษด้านข้อเท้า” ประจำ “โรงพยาบาลลานนา” แล้วเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งเจ้าตัวเผยว่า

“...หลังผ่าตัดเสร็จผมนอนพักรอดูอาการที่โรงพยาบาลประมาณ 5 คืนก็สามารถกลับบ้านได้ จากนั้นคุณหมอได้ให้พักฟื้นดูอาการ และห้ามลงน้ำหนักที่เท้าประมาณ 6 สัปดาห์ และมาตามนัดคุณหมอทุกครั้ง ซึ่งอาการก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ นับว่าเป็นโชคดีของผมมาก ๆ ที่ได้พบกับคุณหมอเฉพาะทางด้านเท้าที่มีความชำนาญในการรักษาเป็นอย่างมาก ช่วยผ่าตัดแก้ไขนิ้วเท้าที่เอียงของผมให้กลับมาดีขึ้น ช่วยให้ไม่มีความเจ็บปวดจากเดิมที่เคยเป็นมา และสามารถเลือกใส่รองเท้าได้ง่ายขึ้น ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นมากกว่าเดิมทันทีเลย...แม้โรคนิ้วโป้งเท้าเอียง จะเป็นโรคทางพันธุกรรมที่ป้องกันไม่ได้แต่เมื่อเป็นแล้วจะสามารถสังเกตพบความผิดปกติได้ไม่ยาก ซึ่งหากผมรีบมาปรึกษาแพทย์เสียแต่เนิ่น ๆ ก็คงได้ทราบแนวทางการรักษาที่ช่วยลดอาการเจ็บปวด และทำให้ใช้ชีวิตได้อย่างเป็นปกติไม่ต้องเจอปัญหาอย่างที่ผ่านมา หรือแม้จะเป็นมากก็มีวิธีรักษาให้หายขาดได้ด้วยการผ่าตัด เพราะฉะนั้น หากท่านใดเห็นว่านิ้วโป้งเท้าของตัวเองหรือคนในครอบครัวเอียงผิดปกติ ไม่ว่าจะมีอาการเจ็บร่วมด้วยขณะเดินหรือไม่ ผมขอแนะนำให้รีบไปปรึกษาคุณหมอเฉพาะทางด้านเท้าไว้ก่อนเลยจะดีกว่า เพราะจะได้เข้ารับการตรวจ วินิจฉัย และวางแผนการรักษา เพื่อจะได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีโดยไม่ต้องสี่ยงต่อการเจ็บปวดอย่างมากในอนาคต เหมือนที่ผมเจอมาแล้วครับ ...”

 



3 มีนาคม 2565

รพ.ลานนา ร่วมกิจกรรม วัยเก๋ารู้เท่าทันสื่อ รณรงค์ป้องกันโรคโควิด



รพ.ลานนา ร่วมกิจกรรม วัยเก๋ารู้เท่าทันสื่อ รณรงค์ป้องกันโรคโควิด

โรงพยาบาลลานนา ร่วมกิจกรรม “วัยเก๋ารู้เท่าทันสื่อ” พร้อมรณรงค์การป้องกันโรคโควิด-19 .

เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2565 ณ หอประชุม เทศบาลตำบลฟ้าฮ่าม โรงพยาบาลลานนา โดย นางจิราลักษณ์ จันทร์กระจาย หัวหน้าแผนกสื่อสารการตลาด โรงพยาบาลลานนา นำทีมเจ้าหน้าที่ ร่วมกิจกรรมโครงการ “วัยเก๋ารู้เท่าทันสื่อ” จัดโดย นางสาวนัทฤทัย ทวีฤทธิ์กุล ประธานชมรมผู้ประกอบการวิทยุกระจายเสียงเขต 9 เชียงใหม่ หัวหน้าโครงการวัยเก๋ารู้เท่าทันสื่อ ร่วมกับ เทศบาลตำบลฟ้าฮ่าม พร้อมทั้งออกบูธให้ความรู้ประชาสัมพันธ์ รณรงค์การป้องกันโรคโควิด-19 . 

นางสุนันทา แสวงธีรกูล นายกเทศมนตรีตำบลฟ้าฮ่าม ร่วมกับชมรมผู้ประกอบการวิทยุกระจายเสียงเขต 9 เป็นประธานเปิดโครงการ “วัยเก๋ารู้เท่าทันสื่อ” โดยมีการอบรมในหัวข้อเรื่อง “เทคนิคการสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์” ที่ได้เล็งเห็นความสำคัญในการให้ความรู้แก่ของผู้สูงอายุ และวัยทำงานในพื้นที่ตำบลฟ้าฮ่าม โดยมี อ.ดร.ทรงเกียรติ จรัสสันติจิต คณะมนุษย์ศาสตร์และนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยพายัพ และ นายปรัชญา กันทวี ผู้ประกาศข่าวสถานีโทรทัศน์ NBT เชียงใหม่ เป็นผู้ดำเนินรายการเป็นวิทยากรบรรยายให้ความรู้ในครั้งนี้ เพื่อให้ความรู้ผู้สูงอายุในชุมชน เพื่อให้เกิดการรับรู้ ความเข้าใจ และปลอดภัย ไม่ตกเป็นเหยื่อของการโฆษณาสรรพคุณสินค้าเกินความเป็นจริง ที่มาหลอกขายสินค้าตามหมู่บ้าน และสื่อทางออนไลน์ พร้อมทั้งกิจกรรมฝึกปฏิบัติถ่ายรูปเพื่อการขายสินค้า สร้างตัวตนบนโลกออนไลน์ . 

พร้อมกันนี้ โรงพยาบาลลานนาได้ร่วมให้ความรู้ประชาสัมพันธ์ รณรงค์การป้องกันโรคโควิด-19 แก่ผู้เข้ารับการอบรม นำเสนอสื่อประชาสัมพันธ์ บนโลกออนไลน์ ซึ่งขณะนี้สามารถติดตามข่าวสาร ความรู้ด้านสุขภาพต่างๆจากโรงพยาบาลลานนา ได้ทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นเฟสบุ๊ก เพจ ไลน์ อินสตาแกรม หรือสื่อโซเชียลที่กำลังมาแรงเป็นที่นิยมแบบ ติ๊กตอก เพียงค้นหาคำว่า "โรงพยาบาลลานนา" ก็จะสามารถกดไลค์ กดติดตามได้แล้ว จากนั้นนางสุนันทา แสวงธีรกูล นายกเทศมนตรีตำบลฟ้าฮ่าม ได้ดำเนินการติดป้ายรณรงค์ป้องกันโรคโควิด-19 เพื่อรณรงค์ให้ความรู้ ให้ถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการติดต่อของโรคโควิด-19 ในห้องประชุม เทศบาลตำบลฟ้าฮ่าม โดยกิจกรรมรณรงค์ป้องกันโรคโควิด-19 เป็นหนึ่งในกิจกรรม CSR ประจำปี 2565 ของโรงพยาบาลลานนาเพื่อสังคม เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในจังหวัดเชียงใหม่ . 

ไม่พลาดทุกข่าวสารน่ารู้ จาก #โรงพยาบาลลานนา ติดตาม ไลน์ https://line.me/R/ti/p/%40lannahospital เพิ่มเพื่อน www.facebook.com/lannahospital.cm กดไลค์เพจ www.facebook.com/lannahospital อย่าลืมกดเลือก #เห็นโพสต์ก่อน หรือ #SeeFirst กันด้วย 

2 มีนาคม 2565

สตรีปวดท้องรุนแรงไม่รู้ว่าต้นตอคือ...เนื้องอกที่รังไข่บิดขั้ว!! รพ.ลานนาใช้เทคโนฯ ส่องกล้องผ่าตัด-เจ็บน้อยฟื้นตัวเร็ว

 


ปวดท้องน้อยเฉียบพลันคิดว่า “ไส้ติ่ง” เล่นงาน

าอีกรายแล้วครับ...คุณสุภาพสตรีชาวเชียงใหม่ซึ่งมีนามว่า “คุณพนารัตน์ เขตต์ทองคำ”  ซึ่งได้เกิดอาการปวดท้องน้อยเฉียบพลันแต่เข้าใจไขว้เขวไปว่าเป็นเพราะ “ไส้ติ่งอักเสบ” หรือมิฉะนั้นก็เกิดจาก “การมีรอบเดือน” แต่มีความผิดปกติบางอย่างปนมาด้วยโดยเจ้าตัวเล่าว่า

“...ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้มีความผิดปกติใด ๆ มากนัก มีแค่ช่วงประมาณ 1 เดือนที่ผ่านมา ดิฉันมีอาการปวดท้องซึ่งคิดว่าเป็นอาการของการปวดท้องประจำเดือนทั่วไปที่ผู้หญิงเป็นกัน แต่ครั้งนี้มีอาการรุนแรงมากกว่าครั้งก่อน ๆ รวมทั้งมีภาวะตกขาว และมีกลิ่นร่วมด้วยทำให้เริ่มรู้สึกว่ามีอะไรไม่ปกติแน่ ๆ เพราะประจำเดือนหมดไปก่อนหน้านี้แล้ว และพอดีกับที่ดิฉันชอบออกกำลังกายตอนเช้ากับเย็นเป็นประจำ แต่พอเริ่มขยับตัวก็จะปวดท้องขึ้นมาทันทีโดยไม่ทราบสาเหตุ ล่าสุดได้เริ่มรู้สึกมีอาการผิดปกติประมาณตอน 4 ตี คือปวดท้องมากขึ้นมาทันที มีอาการแสบท้องคล้ายเป็นโรคกระเพาะ มีอาเจียนร่วมด้วย โดยบริเวณที่ปวดอยู่ที่ท้องด้านขวาล่าง ก็คิดว่าเป็นเพราะไส้ติ่งอักเสบจึงรีบให้สามีพาไปที่ โรงพยาบาลลานนาตอนเช้าวันนั้นเลยค่ะ...”

หลังจากได้รับการนำไปเข้ารับการตรวจที่ห้องฉุกเฉินที่ห้องฉุกเฉิน ซึ่งคุณหมอได้ตรวจเบื้องต้นแล้วได้กดที่ท้องของ “คุณพนารัตน์” ตรงบริเวณที่ปวดและแจ้งว่าไม่น่าจะเข้าข่าย “ไส้ติ่งอักเสบ” ดังที่เข้าใจ จากนั้นได้ส่งตัวไปเข้ารับการตรวจด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ‘CT-scan 128 Slice’ จึงพบว่า...มีก้อนเนื้อบริเวณที่รังไข่ทั้งสองข้าง!!!  จึงส่งต่อไปที่ “แผนกศูนย์สูตินรีเวชกรรม” เพื่อให้ได้รับการตรวจเพิ่มเติมจาก “แพทย์ผู้ชำนาญการด้านสูตินรีเวช” ประจำ “รพ.ลานนา” และต่อเนื่องไปสู่กระบวนการรักษาผู้ป่วยรายนี้ต่อไป


เทคโนฯ ผ่าตัดทันสมัย-ใช้วิธีเจาะรูแทนการเปิดแผลใหญ่

คุณหมอผู้ชำนาญด้านสูตินรีเวชที่รับผิดชอบการดูแลรักษาอาการให้กับบรรดาผู้ป่วยหญิงที่เผชิญปัญหาอาการเช่นเดียวกับ “คุณพนารัตน์” คือ “พญ.ภัทรามาส เลิศชีวกานต์” ได้ให้ข้อมูลที่ตรวจพบดังนี้

“...ผู้ป่วยรายนี้มาด้วยอาการปวดท้อง ซึ่งหลังจากที่ได้มีการตรวจวินิจฉัยด้วยเครื่อง CT-scan แล้ว ก็พบว่ามีเนื้องอกอยู่ตรงบริเวณรังไข่ข้างขวาของผู้ป่วย จึงได้ทำการตรวจอัลตร้าซาวด์เพิ่มเติมในบริเวณของเนื้องอกที่รังไข่ ก็ทำให้รู้ถึงขนาดของเนื้องอกว่า มีเนื้องอกที่รังไข่ ข้างขวา 6 ซม. โดยที่ผู้ป่วยมีอาการปวดท้องอย่างหนัก พบว่ามาจาก...ภาวะเนื้องอกในรังไข่บิดขั้ว...ซึ่งการบิดตัวจะทำให้เส้นเลือดโดนบิดไปด้วย เลือดจึงไปเลี้ยงส่วนนั้นไม่ได้ และเมื่อขาดเลือดไปเลี้ยงนาน ๆ จะส่งผลให้เนื้อรังไข่บริเวณนั้นตาย หากไม่ได้รับการรักษาอาจเกิดอันตรายได้มากขึ้น จึงแนะนำให้ผู้ป่วยเข้ารับการผ่าตัดเอารังไข่ด้านขวาออกค่ะ...”

ตอนนี้ “หมอจอแก้ว” ขอแทรกเนื้อหาเกี่ยวกับความก้าวหน้าในวงการแพทย์ปัจจุบันที่ได้ช่วยให้เกิดพัฒนาการทั้งในด้านเทคโนโลยีทางการแพทย์และเครื่องมือการรักษาที่ทันสมัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ “การผ่าตัดโดยใช้กล้อง” มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาโดยแพทย์ไม่ต้องเปิดแผลใหญ่ที่หน้าท้องของผู้ป่วย หากแต่ใช้วิธีเจาะรูขนาดประมาณ 0.5-1 ซ.ม.ที่ผิวหนังใกล้อวัยวะที่ต้องการผ่าตัดจำนวน 1-3 รู เพื่อสอดเครื่องมือและกล้องขนาดเล็กเข้าไปเพื่อให้แพทย์เห็นบริเวณที่ต้องการผ่าตัดได้อย่างชัดเจนจากภาพที่ปรากฏบนหน้าจอรับภาพ ส่งผลให้การผ่าตัดมีความเที่ยงตรงและแม่นยำโดยไม่กระทบต่ออวัยวะอื่นในส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องเหมือนดังเช่นการผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง ซึ่ง “คุณหมอภัทรามาส” อธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมว่า

“...ข้อดีของการผ่าตัดเนื้องอกที่รังไข่ด้วยการส่องกล้องคือ แผลผ่าตัดมีขนาดเล็ก จึงกระทบต่ออวัยวะภายในน้อยลงมากและเสียเลือดน้อยเมื่อเทียบกับการผ่าตัดแบบเดิม จึงเท่ากับเป็นการลดโอกาสการเกิดภาวะแทรกซ้อนและลดการติดเชื้อหลังการผ่าตัด  โอกาสเกิดพังผืดหลังการผ่าตัดก็น้อยลง ช่วยให้ผู้ป่วยเจ็บตัวน้อย หายได้ไว ฟื้นตัวได้เร็ว ใช้เวลาพักฟื้นไม่นานก็สามารถออกไปใช้ชีวิตประจำวัน ที่สำคัญอีกอย่างคือในแง่ความสวยงาม คือผู้ป่วยจะมีแผลขนาดเล็ก ที่หน้าท้องน้อย 1-3 แผล ต่างจากการผ่าตัดแบบเปิดที่จะต้องมีรอยแผลเป็นแนวยาวที่ท้องน้อยหลังผ่าตัด จึงอาจทำลายความมั่นใจของคุณผู้หญิงผู้ป่วยค่ะ...”

“เนื้องอก” อาจพัฒนาเป็น “เนื้อร้าย” ในไม่ช้าไม่นาน

ะเห็นได้ว่าความก้าวหน้าทันสมัยของเทคโนโลยีการส่องกล้องผ่าตัดดังที่ ศูนย์ผ่าตัดส่องกล้องมดลูก-รังไข่ โรงพยาบาลลานนา” นำเข้ามาใช้นี้มีส่วนช่วยลดการเจ็บตัวให้ผู้ป่วยด้วยโรคเนื้องอกในรังไข่ได้มากกว่าการผ่าตัดแบบดั้งเดิมเพียงใด แต่ประเด็นสำคัญที่คุณผู้หญิงควรคำนึงอยู่เสมอว่าการปวดท้องที่เกิดขึ้นนั้นใช่ว่าจะเป็นเรื่องเล็ก ๆ ง่าย ๆ เสมอไป และไม่อาจประเมินด้วยตัวเองว่าอาการปวดที่เกิดขึ้นนั้นมาจากสาเหตุใดจึงไม่ควรปล่อยไว้และให้รีบไปพบแพทย์เพื่อจะได้รับการรักษาอย่างตรงจุด เพราะมีคุณผู้หญิงจำนวนไม่น้อยที่มิได้ให้ความสำคัญในกรณีเช่นเดียวกันนี้... “หมอจอแก้ว” จึงใคร่ขอเตือนไว้นิดหนึ่งว่า “โรคเนื้องอกในรังไข่” อาจไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่มันมีโอกาสพัฒนาเป็นเนื้อร้ายในอนาคตได้ จึงฝากข้อคิดคำแนะนำจาก “คุณหมอภัทรามาส” ไว้ด้วยเลยดังนี้ครับ

“...ขอให้สาว ๆ หมั่นสังเกตอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเป็นความผิดปกติของประจำเดือน ปัสสาวะบ่อยขึ้น ท้องผูก ท้องโตขึ้น อืดแน่นท้อง หรืออาการปวดท้องเฉียบพลัน ซึ่งอาจเกิดจากภาวะแทรกซ้อนของเนื้องอก รวมทั้งควรไปตรวจสุขภาพและตรวจภายในอย่างสม่ำเสมอ และเมื่อใดก็ตามที่พบว่ามีความผิดปกติควรไปพบแพทย์ทันทีจะเกิดผลดีมากกว่าค่ะ...”