โรงพยาบาลลานนา เชียงใหม่ ใช้เทคโนโลยี ช่วยในการวินิจฉัย และรักษาโดยการส่องกล้อง www.lanna-hospital.com

2 กุมภาพันธ์ 2565

อย่าปล่อย “ต่อมไทรอยด์” ขนาดโตมากขึ้นเสี่ยงเป็นมะเร็ง!! รพ.ลานนา เชียงใหม่ ใช้เทคโนฯ ผ่าตัดส่องกล้องผ่านปาก “ไร้แผลเป็น”

 อย่าปล่อย “ต่อมไทรอยด์” ขนาดโตมากขึ้นเสี่ยงเป็นมะเร็ง!!

รพ.ลานนา เชียงใหม่ ใช้เทคโนฯ ผ่าตัดส่องกล้องผ่านปาก “ไร้แผลเป็น”


ผู้มีประวัติครอบครัวเป็นโรคไทรอยด์พึงระวัง!!

คุณผู้หญิงชาวเหนือท่านหนึ่งได้เผยกับทีมงาน “อุ่นใจ...ใกล้หมอ” เกี่ยวกับอาการป่วยด้วย “โรคไทรอยด์” ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อ 5 ปีก่อนโดยเริ่มสังเกตว่าเกิดอาการเหนื่อย ใจสั่นเวลาทำงาน ซึ่งมักเกิดขึ้นเดือนละประมาณ 3-4 ครั้ง แต่ด้วยความที่คุณแม่มีประวัติเป็นโรคไทรอยด์จึงเกรงว่าตัวเองจะได้รับถ่ายทอดมาทางพันธุกรรมจึงไปให้คุณหมอตรวจและแล้วคุณผู้หญิงรายนี้ซึ่งมีนามว่า “คุณนิภาวรรณ พรหมพนัส”  ก็ทราบว่าป่วยด้วยโรคไทรอยด์เป็นพิษจริงดังที่สงสัยและได้เข้าสู่กระบวนการรักษาตามปกติโดยกินยารักษาตามอาการ ซึ่งในช่วงแรกที่เป็นโรคไทรอยด์นั้นไม่ได้คิดว่าจะมีอันตรายร้ายแรงแต่อย่างใด ดังนั้นเมื่ออาการดีขึ้นจึงละเลยการทานยาไปบ้างหรือทานไม่สม่ำเสมอนั่นเองทำให้ไทรอยด์กลับมากำเริบอีกครั้ง ซึ่ง “คุณนิภาวรรณ” ให้ข้อมูลว่า


“... ล่าสุดนี้พบว่าเป็นบ่อยขึ้นแถมยังสังเกตได้ว่าคอของตัวเองเริ่มบวมโตจนคนใกล้ชิดสามารถสังเกตเห็นได้ ทำให้ตัดสินใจไปรักษาโดยได้ปรึกษาคุณหมอที่ โรงพยาบาลลานนา เชียงใหม่ และได้เข้ารับการตรวจโดย คุณหมอไปรพิดา รามนัฎ เริ่มจากการซักถามประวัติการรักษาที่ผ่านมาและได้แนะนำวิธีการรักษาต่อไป พร้อมกับให้ความเห็นว่าหากอาการไม่รุนแรงหรือโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งยังต่ำแพทย์อาจให้กินยาเพื่อควบคุมมิให้ต่อมไทรอยด์ผลิตฮอร์โมนผิดปกติเกินไป และวิธีคือการกลืนแร่ไอโอดีนเพื่อให้ไปทำลายเซลล์ของต่อมไทรอยด์และลดขนาดต่อมให้เล็กลง เมื่อมันผลิตฮอร์โมนน้อยลงก็จะเป็นการควบคุมภาวะของโรคไทรอยด์ไปด้วย แต่ในกรณีที่รักษาแล้วไม่ดีขึ้นหรือมีอาการรุนแรงและมีความเสี่ยง เช่น ต่อมไทรอยด์มีขนาดโตมากขึ้น  หรือตรวจพบว่าเป็นมะเร็งก็จำเป็นที่แพทย์ต้องแนะนำให้ผ่าตัดต่อมไทรอยด์ออกค่ะ...”



เมื่อ “คุณนิภาวรรณ” ได้ทบทวนแล้วเห็นว่าการรักษาในเบื้องต้นยังไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร ขณะที่เจ้าตัวอยากหายจากโรคไทรอยด์ก็คงหนีไม่พ้นที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดขจัดต่อมนี้ออกไปให้พ้น แต่มาสะดุดหยุดอยู่ตรงที่ไม่อยากมีแผลเป็นแนวยาวปรากฏอยู่ที่คอหลังการผ่าตัดซึ่งใคร ๆ ก็มองเห็น ซึ่งทำให้เจ้าตัวกังวลว่าจะทำให้เสียความมั่นใจอีกต่างหาก จึงได้รับคำแนะนำให้ไปปรึกษาเรื่องการผ่าตัดกับ “นพ.ราชันย์พัทธ์ วรเวชานนท์...ศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการผ่าตัดผ่านทางกล้อง” ประจำ “โรงพยาบาลลานนา” จึงได้ทราบว่ามีการนำ “เทคโนโลยีผ่าตัดแบบส่องกล้อง” เพื่อการรักษา “โรคไทรอยด์” แล้วที่โรงพยาบาลแห่งนี้ 

รพ.ลานนา พัฒนาใช้เทคโนโลยีการผ่าตัดไทรอยด์ ด้วยการส่องกล้องไร้แผล

ถ้ามองย้อนกลับไปในอดีตก็ต้องบอกว่าการผ่าตัดไทรอยด์ใช้วิธีการผ่าตัดแบบเปิด โดยจะผ่าตัดที่บริเวณคอในแนวขวางเพื่อให้ตัดไทรอยด์ออกได้หมดรวมถึงสามารถเลาะต่อมน้ำเหลืองได้บางกรณี แต่แน่นอนว่าหลังการผ่าตัดแล้วจะทำให้ผู้ป่วยมีแผลเป็นตามแนวขวางที่ลำคออย่างชัดเจน และนั่นคือที่มาของการพัฒนาเทคนิคการผ่าตัดต่อมไทรอยด์แบบแผลเล็กโดยการผ่าตัดผ่านกล้องในหลายตำแหน่ง เช่น รักแร้ หัวนม เพียงแต่ว่ายังมีข้อจำกัดหลายอย่าง เช่น ระยะจากรักแร้ไปยังต่อมไทรอยด์มีระยะทางไกล ทำให้การผ่าตัดค่อนข้างยาก และหากต้องผ่าตัดต่อมไทรอยด์ออกทั้ง 2 ข้าง จะต้องผ่ารักแร้ทั้ง 2 ข้างด้วยเช่นกัน ซึ่งจะทำให้เกิดรอยแผลเป็นตามบริเวณลำตัวหรือรักแร้ของผู้ป่วยที่เข้ารับการผ่าตัดอยู่ดี...แต่ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการแพทย์จึงช่วยให้การผ่าตัดต่อมไทรอยด์ทุกวันนี้กลายเป็นเรื่องไม่ยุ่งยากเหมือนแต่ก่อน เนื่องจากมีการประดิษฐ์คิดค้น “เทคโนโลยีการผ่าตัดส่องกล้องผ่านช่องปากแบบไร้แผลเป็น” โดยที่ “ศูนย์ศัลยกรรมส่องกล้อง โรงพยาบาลลานนา” ได้สั่งนำเข้ามาทำการรักษาผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคไทรอยด์ ซึ่ง “นพ.ราชันย์พัทธ์ วรเวชานนท์...แพทย์ผู้ชำนาญการด้านการส่องกล้อง” ได้อธิบายถึงความแตกต่างและข้อดีของการใช้ เทคโนโลยีการผ่าตัดแบบส่องกล้องนี้ว่า


“...เป็นการรักษาผู้ป่วยด้วยการผ่าตัดผ่านช่องปากโดยเปิดรูเล็กประมาณ 1-2 ซ.ม. สำหรับสอดอุปกรณ์กล้องขนาดจิ๋วและเครื่องมือผ่าตัดพิเศษด้วยการเลาะไปใต้ผิวหนังลงไปถึงบริเวณต่อมไทรอยด์ เพื่อตัดต่อมไทรอยด์ที่มีปัญหาออก ซึ่งวิธีการเปิดแผลภายในช่องปากนี้จะช่วยให้มีการสมานแผลได้ดีกว่าเปิดแผลภายนอก ช่วยลดการบาดเจ็บต่อเนื้อเยื่อได้มาก เสียเลือดน้อยกว่า ที่สำคัญคือผู้ป่วยไม่มีแผลเป็นภายนอกเลย จึงกล่าวได้ว่าเป็นจุดเด่นของการรักษาที่แตกต่างจากการผ่าตัดแบบเปิดเช่นในอดีต จึงทำให้หลังการรักษาผู้ป่วยไม่ต้องกังวลเรื่องรอยแผลเป็นภายนอกอีกต่อไป

 “ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด...คำกล่าวของผู้มีประสบการณ์

 

ลังจากได้ฟังคำอธิบายและได้ความกระจ่างชัดจาก “คุณหมอราชันย์พัทธ์” แล้ว “คุณนิภาวรรณ” จึงได้ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมจากอินเทอร์เน็ตโดยยอมรับว่ายังมีความรู้สึกกังวลและกลัวการผ่าตัดเป็นทุนเดิมอยู่ก่อนแล้ว แต่ภายหลังจากที่ได้เข้ารับการผ่าตัดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เจ้าตัวบอกเลยว่าไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดไว้ทั้งยังใช้เวลาพักฟื้นที่โรงพยาบาลเพียง 2 คืนคุณหมอก็อนุญาตให้กลับบ้านได้ โดยสามารถพูดคุยและทานอาหารได้ มีอาการตึง ๆ ที่ตำแหน่งที่ผ่าตัดเล็กน้อย โดยให้รายละเอียดเสริมว่า




“...หลังจากเข้ารับการผ่าตัดรักษาโรคไทรอยด์ ก็รู้สึกดีขึ้นมาก อาการเหนื่อย ใจสั่น จากที่เคยเป็นก็หายไป มีความมั่นใจมากขึ้น แพทย์แนะนำให้พักฟื้นที่บ้านอีก 10 วันและให้งดอาหารรสจัด ของหมัก ดอง ซึ่งก็สามารถทานอาหารได้ตามปกติ และอีก 1 อาทิตย์หลังจากนั้นดิฉันก็สามารถใช้ชีวิตตามปกติเรื่อยมาเลยค่ะ ที่ชอบมากคือไม่มีรอยแผลเป็นหลังผ่าตัด รู้สึกประทับใจในการรักษามากเลย จึงอยากแนะนำท่านอื่น ๆ ที่เข้าข่ายว่าจะเป็นไทรอยด์แบบเดียวกันนี้ให้เริ่มสังเกตอาการด้วยตนเองไว้ก่อนจะดีมาก และหากคิดว่าน่าจะเป็นอาการจากโรคไทรอยด์ก็ควรรีบไปพบคุณหมอโดยเร็วดีกว่า เพราะหากได้รับการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ จะเป็นผลดีต่อตัวผู้ป่วยเองค่ะ...”



“หมอจอแก้ว” เชื่อเหลือเกินว่าคำบอกเล่าของผู้ผ่านประสบการณ์ในการผ่าตัดครั้งแรกอย่าง “คุณนิภาวรรณ” น่าจะมีส่วนช่วยให้ท่านผู้อ่านชาวเหนือโดยเฉพาะคุณผู้หญิงที่มักตกเป็นเหยื่อของ “โรคไทรอยด์เป็นพิษ” มีแง่มุมที่เกิดประโยชน์สำหรับการสังเกตตนเองต่อไป และสามารถเอาตัวรอดจากโรคนี้ได้โดยไม่ยากนะครับเพราะมีกรณีของท่านที่เคยเจอปัญหาอาการจนรักษาหายแล้วมาเป็นแนวทางที่ชัดเจนดังที่นำมาถ่ายทอดไว้ในวันพุธนี้แล้ว...เพราะฉะนั้นก็ไม่ควรรอช้าหรือปล่อยให้ “ไทรอยด์” เล่นงานอยู่ฝ่ายเดียวก็แล้วกันครับ