โรงพยาบาลลานนา เชียงใหม่ ใช้เทคโนโลยี ช่วยในการวินิจฉัย และรักษาโดยการส่องกล้อง www.lanna-hospital.com

14 กันยายน 2565

เส้นเลือดแดงที่คออุดตันจนตาพร่ามัวลืมไม่ขึ้น!! รพ.ลานนา ใช้เทคโนฯ ก้าวหน้าแทน “ผ่าตัดใหญ่”

เส้นเลือดแดงที่คออุดตันจนตาพร่ามัวลืมไม่ขึ้น!! 
รพ.ลานนาใช้เทคโนฯ ก้าวหน้าแทน “ผ่าตัดใหญ่”

บุญเหลือล้นที่การตีบตันยังไม่มากพอ...

กขึ้นไปเชียงใหม่เพื่อติดตามเรื่องน่าหวาดเสียวที่เกิดขึ้นกับชายชาวเชียงใหม่วัย 64 ปี รายหนึ่งนามว่า “คุณมียู อุปรา” ซึ่งบอกได้ว่าจวนเจียนจะได้เจอฤทธิ์ของ “อัมพฤกษ์ อัมพาต” เข้าให้ชนิดที่แทบจะหนีไม่พ้นอยู่แล้วหลังจากที่มีอาการเริ่มต้นด้วยการเดินแค่ไม่กี่ก้าวก็ชักจะก้าวขาไม่ออก โดยเจ้าตัวเผยด้วยตัวเองว่า



            “...ผมเข้ามาที่โรงพยาบาลลานนาด้วยอาการแขนอ่อนแรง และตาพร่ามัว เริ่มจากมองเห็นไม่ชัดในตอนแรกจากนั้นก็เป็นหนักถึงขั้นมองไม่เห็น ลืมตาไม่ขึ้น ซึ่งอาการเหล่านี้ ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น แต่อาการมันเริ่มมาจากตั้งแต่เมื่อ 2 ปีก่อนแล้ว โดยเราเริ่มสังเกตตัวเองว่า  เวลาที่ไปเดินตลาด เดินได้เพียงสักประมาณครึ่งชั่วโมง ขาก็เริ่มจะก้าวไม่ออกแล้ว รู้สึกเหมือนจะล้มต้องนั่งพักถึงจะเดินต่อได้ แต่พักหลัง ๆ มาเป็นหนักขึ้น แค่ยืนทำกับข้าวอยู่ประมาณ 10 นาทีก็รู้สึกเหมือนจะล้ม ขาก็ไม่มีแรงเป็นบางครั้งแต่พอได้นั่งพักสักเดี๋ยวก็หายไป...จนเมื่อ 2-3 เดือนก่อนตอนที่นั่งดูทีวีอยู่ดี ๆ จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าตาหนักทั้ง 2 ข้างโดยมีอาการพร่ามัวมองเห็นไม่ชัด แรก ๆ ขยี้ตาก็หายไป-กลับมามองเห็นได้ แต่หลัง ๆ มานี้พอตาเริ่มพร่ามัวต่อให้ขยี้ตายังไงก็ไม่ดีขึ้น มองไม่เห็นเหมือนเดิม จะเห็นแค่ว่าเป็นภาพเส้น ๆ  สี ๆ ผลสุดท้ายตาก็ปิดลงและลืมไม่ขึ้น พอตื่นเช้าก็เลยรีบไปที่โรงพยาบาลลานนาทันที...”

จริง ๆ แล้ว หากใครมีลักษณะอาการแบบเดียวกับที่ “คุณมียู” เจอมานี้ต้องรีบไปหาหมอโดยไม่รอช้าก็จะมีโอกาสพ้นภัยจาก “โรคหลอดเลือดสมอง” โดยไม่ควรเสี่ยงรอเวลาให้ผ่านไปนานขนาดนี้ แต่ก็อาจเป็นเคราะห์ดีของท่านชายชาวเชียงใหม่รายนี้ที่มิได้เกิดภาวะตีบตันจนเลือดไม่สามารถไปเลี้ยงสมองได้อย่างเพียงพอ และการพัฒนาของโรคมิได้เป็นไปแบบเฉียบพลันทันที...และถึงแม้จะยังไม่ถึงขั้น “ซีเรียส” แต่ก็ต้องบอกว่าได้เกิด “ภาวะฉุกเฉิน” จากการมีภาวะเส้นเลือดสมองที่บริเวณคอของผู้ป่วยมีการอุดตันในระดับหนึ่งแล้ว และจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องได้รับการรักษาเพื่อมิให้เกิดการตีบตันที่เส้นเลือดบริเวณคอถึงขั้นทำให้สมองขาดเลือดจนก่อให้เกิดปัญหาใหญ่ตามมา ซึ่งกรณีนี้   


“นพ.ณัฐวรรธ วิฑูรย์...ศัลยแพทย์ระบบประสาท และแพทย์รังสีร่วมรักษาทางระบบประสาท” ประจำ “โรงพยาบาลลานนา” ให้ความกระจ่างเกี่ยวกับกรณีของ “คุณมียู” ดังนี้

“...ผู้ป่วยเข้ามารับการรักษาครั้งแรกด้วยอาการตามีปัญหา อาการที่เป็นคือ ภาพหาย และกลับมาเห็นเป็นระยะๆ และต่อมาตาข้างขวาได้เริ่มมองไม่เห็นอะไรเลย ประกอบกับมีอาการชาร่างกายด้านซีกซ้ายร่วมด้วยแล้ว จึงได้ส่งไปรับการตรวจโดยจักษุแพทย์ก่อนจึงช่วยให้เห็นความผิดปกติแล้วเกิดความสงสัยว่ามีอาการอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือ Stroke  และจากการตรวจอัลตราซาวด์หลอดเลือดที่บริเวณคอ แล้วจึงส่งต่อมายัง ศูนย์สวนหลอดเลือดสมอง โรงพยาบาลลานนา เพื่อตรวจหาความผิดปกติของระบบประสาทและสมองของผู้ป่วยอย่างละเอียดอีกครั้ง โดยให้ผู้ป่วยรับการตรวจเพิ่มเติมด้วย เอกซเรย์คอมพิวเตอร์หลอดเลือดแดง และ การสร้างภาพหลอดเลือดแดงโดยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ที่เรียกว่า MRA ซึ่งผลการตรวจเหล่านี้ ทำให้เข้าใจสภาพของหลอดเลือดแดงที่บริเวณคอ และหลอดเลือดในสมองได้อย่างชัดเจน จนได้พบสาเหตุของอาการผิดปกติของผู้ป่วยว่าเกิดจาก โรคเส้นเลือดใหญ่สมองตีบตัน...โดยได้อุดตันไปแล้วถึง 85 % และหากมารักษาช้ากว่านี้ และมันไปอุดตันจนเลือดไปเลี้ยงสมองไม่ได้ก็อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ เพราะเป็นเส้นลือดหลัก...ส่วนกรณีที่การมองเห็นของผู้ป่วยผิดปกติไปและตาข้างขวาก็ปิดลงในที่สุดนั้นเป็นผลจากการที่เส้นประสาทตาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเซลล์สมองเกิดการขาดเลือด หรือมีเลือดไปเลี้ยงไม่พอครับ...” 

ที่มาสาเหตุนำไปสู่ภาวะที่อาจเกิด “วิกฤติ”

งสัยไหมว่าภาวะอาการที่เกิดกับผู้ป่วยชายรายนี้มีที่มาสาเหตุอย่างไร??...ก็ต้องขอนำคำอธิบายจาก “คุณหมอณัฐวรรธ” เกี่ยวกับประเด็นที่สงสัยกันนี้มาสรุปว่า...เกิดจากการใช้ชีวิตปัจจุบันในสังคมที่เร่งรีบ มีการแข่งขันสูง และที่ตามมาคือ “ความเครียด” ...ยิ่งหากพิจารณาถึงการบริโภคอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรต-หรือประเภทแป้ง โปรตีน และไขมันสูงมากไป ก็อาจมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะตีบตันของเส้นเลือดสมองได้...และหากแบ่งตามเชื้อชาติแล้วจะพบว่าชาว “คอเคเชี่ยน” หรือฝรั่งผิวขาว จะเกิดการตีบตันของเส้นเลือดสมองในบริเวณลำคอ ที่มีชื่อเรียกภาษาอังกฤษว่า Carotid Artery นั้น เกิดจากการบริโภคอาหารที่มีไขมันส่วนเกินมาก ๆ ในขณะที่ชาวเอเชียก็มักพบการตีบตันของเส้นเลือดสมองส่วนกลางซึ่งวางแทรกอยู่ในเนื้อสมอง อันถือเป็นภาวะทางพันธุกรรมอยู่แล้ว ดังนั้นหากชาวเอเชียไปอาศัยอยู่ในแผ่นดินของฝรั่งผิวขาว และทานอาหารแบบฝรั่ง ก็อาจจะเกิดการตีบตันตามแบบที่เกิดกับฝรั่งก็เป็นได้ ซึ่งหมายถึงการตีบตันที่เส้นเลือดบริเวณคอ ดังที่ “คุณมียู” เจอกับตัวเองมาแล้วนั่นเอง โดย “คุณหมอณัฐวรรธ...ศัลยแพทย์ระบบประสาท และแพทย์รังสีร่วมรักษาทางระบบประสาท” ประจำ “ศูนย์สวนหลอดเลือดสมอง โรงพยาบาลลานนา”  ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า 

“...โรคเส้นเลือดใหญ่สมองตีบตัน เกิดจากหลอดเลือดแดงคาโรติด  ซึ่งเป็นเส้นเลือดแดงขนาดใหญ่ที่ต่อตรงออกมาจากเส้นเลือดบริเวณหัวใจเชื่อมต่อไปยังสมอง เส้นเลือดแดงนี้ประกอบไปด้วยเส้นเลือดแดงคาโรติด ซ้าย และ ขวา มีหน้าที่เป็นเส้นเลือดหลักในการลำเลียงเลือดขึ้นสู่สมอง  ฉะนั้น ยิ่งเมื่อหลอดเลือดแดงคาโรติดเกิดการติดตีบตันมากเท่าไหร่  ก็จะทำให้ปริมาณเลือดไปเลี้ยงสมองลดลงจนทำให้เกิดภาวะสมองขาดเลือด  และเกิดอาการต่าง ๆ ได้ ขึ้นอยู่กับว่าภาวะการตีบตันของหลอดเลือดคาโรติดมีมากน้อยเพียงใด ทั้งนี้โดยอาการจะมีหลายระยะ เริ่มตั้งแต่...สายตาพร่ามัว หรือรู้สึกเหมือนมีม่านมาบังตา อาจจะเป็น ๆ หาย ๆ ได้ตั้งแต่ 15 นาทีถึง 1 ชั่วโมง โดยจะหายเป็นปกติภายใน 24 ชั่วโมง หรืออาการตามองไม่เห็นชั่วคราวข้างเดียวแบบเฉียบพลัน อาจเป็นอยู่นาน 1 สัปดาห์หรือเป็นเดือนก็ได้ รวมไปถึงสูญเสียการมองเห็นไปเลยหากมีการตีบตันมาก ๆ และไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที...



“ทางเลือกใหม่”...เลี่ยงการผ่าตัดเปิดสมอง!!

มีประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับการบำบัดรักษาอาการที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยชายวัย 64 ปีรายนี้ ด้วยเหตุที่ “คุณหมอณัฐวรรธ” ได้ใช้เทคโนโลยี “การทำบอลลูนถ่างขยายหลอดเลือด-ใส่ขดลวด” แทนการผ่าตัดเปิดสมองซึ่งเป็นมาตรฐานทั่วไปที่มีการใช้เพื่อรักษามาแต่อดีต และเป็นที่ทราบกันว่าการผ่าตัดสมองนั้นเป็นหัตถการซึ่งมีความซับซ้อน ก่อให้เกิดแผลขนาดใหญ่ที่ศีรษะ ส่งผลให้การฟื้นตัวภายหลังการผ่าตัดใช้ระยะเวลานาน ผู้ป่วยจึงมีมุมมองแง่ลบหากต้องเข้ารับการผ่าตัดสมอง จึงเป็นเหตุให้ “ศูนย์สวนหลอดเลือดสมอง โรงพยาบาลลานนา” ได้นำเทคโนโลยีการรักษาโดยใช้สายสวนหลอดเลือดสมอง ซึ่งเป็นวิธีการรักษาที่ไม่ต้องผ่าเปิดกะโหลกศีรษะ จึงปราศจากรอยแผลเป็นขนาดใหญ่ที่บริเวณหนังศีรษะของผู้ป่วยหลังการรักษา หากแต่คุณหมอดำเนินการโดยใช้สอดขดลวดไปถ่างขยายบริเวณหลอดเลือดแดงคาโรติดที่มีการตีบตันเพื่อให้เลือดไหลผ่านได้สะดวกและไปเลี้ยงสมองได้เพียงพอ โดยการรักษาใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เศษ ๆ ก็ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ตามปกติแม้ว่าการตีบตันของหลอดเลือดแดงคาโรติดที่คอเกิดขึ้นมากกว่า 85% แล้ว และเป็นอันว่าผู้ป่วยชายชาวเชียงใหม่วัย 64 ปีรายนี้พ้นอันตรายจากภาวะ “หลอดเลือดสมองที่บริเวณคอตีบตัน” ได้อย่างเห็นผล ซึ่งเจ้าตัวได้ฝากข้อคิดมาปิดท้ายด้วยดังนี้

“...ฝากไว้ว่าไม่ควรละเลยเรื่องอาหารการกินเด็ดขาด เพราะเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าวันหนึ่งเราจะเป็นอะไรบ้าง ขอให้หมั่นดูแลสุขภาพและตรวจเช็คร่างกายของตัวเองอยู่เสมอ เมื่อเราเริ่มมีอาการที่ผิดปกติก็อย่ารอช้า ควรรีบพบหมอเพื่อที่จะได้รักษาให้ตรงจุดและทันท่วงที เพราะถ้าหากเราปล่อยไว้อาจเป็นอันตรายถึงขั้นชีวิตได้นะครับ..พร้อมกันนี้ผมต้องขอขอบคุณ นพ.ณัฐวรรธ วิฑูรย์  ทีมแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลลานนาทุกท่าน ที่ได้ดูแลผมตลอดการรักษาที่นี่ ให้ปลอดภัยจากอาการที่เกิดขึ้นครับ...”