ผู้ป่วยชาวเหนือวัย 63 รู้ฤทธิ์แล้ว...
อีกโรคที่ “อุ่นใจ..ใกล้หมอ” นำมาฝากในวันนี้คือ
“นิ่วในถุงน้ำดี” ซึ่ง “หมอจอแก้ว” อยากให้ท่านผู้อ่านเกิดความตระหนักทั่วกันโดยไม่จำกัดว่าจะเป็นท่านผู้อ่านที่มีถิ่นที่อยู่ที่ภาคเหนือ
หรือภาคไหนก็น่าจะมีข้อมูลติดตัวไว้ด้วยจะได้ช่วยลดความเสี่ยงกับการที่ต้องเผชิญกับฤทธิ์เดชของมันเมื่อ
“ก้อนนิ่ว” ที่เกิดขึ้นในตัวได้เพิ่มขนาดขึ้นเรื่อย ๆ
จนถึงจุดที่ทำให้เกิดการอักเสบ และส่งสัญญาณแสดงอาการผิดปกติให้ผู้ป่วยไม่อาจอยู่นิ่งเฉยโดยไม่หาทางบำบัดรักษา
เพราะหากปล่อยไว้มันยังเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งถุงน้ำดีได้อีกด้วย ซึ่งวิธีรักษาเมื่อเลยระยะที่อาศัยยาอย่างเดียวไม่อาจ
“เอาอยู่” แล้วก็คือ “การผ่าตัด” กำจัดออกไปให้พ้นตัว
ดังที่ “คุณณภฎฬ ชูโต ศิริรณรงค์” วัย 63 ปี อดีตแพทย์เมืองลุงแซม ได้เจอประสบการณ์ด้วยตนเองมาแล้วเมื่อไม่นานมานี้
โดยอดีตผู้ป่วยรายนี้ได้เล่าว่า
“...เรารู้ตัวอยู่แล้วว่ามีอาการผิดปกติในร่างกาย
โดยมักจะปวดท้อง อาหารไม่ย่อย
อาเจียนสลับกันมาร่วมปีแล้วโดยบางครั้งต้องตื่นขึ้นมาอาเจียนตอนตี 5
โดยไม่ทราบสาเหตุ
เมื่อทนไม่ไหวก็ไปพบแพทย์และได้เข้ารับการตรวจด้วยอัลตร้าซาวน์จึงพบว่าเรามีนิ่วอยู่ในถุงน้ำดีถึง
2 เม็ดขนาดใหญ่ราว 1 ซ.ม. ซึ่งคุณหมอบอกว่าต้องผ่าตัดกำจัดออก...”
ส่วนสาเหตุที่ทำให้เกิดนิ่วนั้น “คุณณภฎฬ” ลำดับให้ฟังว่า “ในสมัยเด็กเคยอาศัยอยู่ในชุมชนย่านชานเมืองที่กรุงเทพฯ
มาก่อน ซึ่งในสมัยก่อนนั้น แถวๆ บ้านก็ยังไม่มีน้ำประปาเข้าถึงมากนัก
ทำให้ต้องดื่มน้ำที่ต้มสุกเอง หรือไม่ก็น้ำทั่วๆ ไป ซึ่งอาจไม่สะอาดพอ จึงน่าจะเกิดตะกอนสะสมอยู่ในตัวมาหลายปี
จนอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้กลายเป็นนิ่วในถุงน้ำดีในที่สุด และในปัจจุบันได้มาเปิดร้านอาหาร
“โอ๊คทรี” อยู่ที่เชียงใหม่ แล้วมี “เบาหวาน”
เป็นโรคประจำตัวด้วย ก็อาจช่วยเพิ่มแรงกระตุ้นให้เกิดปัญหายิ่งขึ้น
และเพื่อป้องกันภาวะต่าง ๆ ที่อาจเกิดตามมา ทำให้ “คุณณภฎฬ” ไปขอพบและปรึกษาหาทางรักษาโรคกับ “นพ.ราชันย์พัทธ์
วรเวชานนท์” หรือ “หมอเดี่ยว” ซึ่งเป็น “ศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการส่องกล้อง”
ประจำ “โรงพยาบาลลานนา” ที่เป็นผู้รู้จักคุ้นเคยกันอยู่ก่อนแล้วโดยได้เข้ารับการผ่าตัดในเวลาต่อมา
วัยเกิน
40ปี ควรตระหนักโดยเฉพาะสตรี !! ..
ก่อนที่ “หมอจอแก้ว”
จะสาธยายถึงรายละเอียดของการผ่าตัดก็ต้องขอเวลานอกเพื่อเสนอข้อมูลเกี่ยวกับ “โรคนิ่วในถุงน้ำดี”
ตามที่ “คุณหมอราชันย์พัทธ์” ได้อธิบายไว้โดยสรุปว่าในห้องตรวจศัลยกรรมมักเจอผู้ป่วยที่มีอาการปวดท้องฉุกเฉินเข้ามาพบแพทย์
และบ่อยครั้งก็พบว่าปัญหาเหล่านั้นไม่ได้เกิดจากโรคกระเพาะหรือระบบทางเดินอาหาร
แต่สาเหตุมาจากโรคนิ่วในถุงน้ำดี
ซึ่งมักพบในผู้มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไปและมักพบในผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่
แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เจอในผู้ชายหรอกนะเพราะโรคนี้ไม่ได้มีปัจจัยเพียงแค่เรื่องของอายุและเพศเท่านั้น
หากแต่ยังมีปัจจัยสำคัญอีกหลายอย่าง เช่น การทานอาหาร คนอ้วน
คอเลสเตอรอลในเลือดสูง ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน ธาลัสซีเมีย โลหิตจางจากเม็ดเลือดแดงแตก
ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคนิ่วในถุงน้ำดีได้เช่นกัน...อย่างไรก็ตาม
หากตรวจวินิจฉัยแล้วพบว่ามีนิ่วในถุงน้ำดีจนทำให้เกิดอาการ
หนทางสุดท้ายในการรักษาจะหนีไม่พ้นที่ต้องทำการผ่าตัด เพื่อให้สามารถจบปัญหา “นิ่วในถุงน้ำดี”
อย่างลงตัว เพราะหากปล่อยทิ้งไว้อาจก่อให้เกิดปัญหาถุงน้ำดีอักเสบ ซึ่งสถิติผู้ป่วยมีประมาณ
3 เปอร์เซ็นต่อปี แต่ที่สำคัญคือความเสี่ยงต่อการเกิด “มะเร็งถุงน้ำดีจากการอักเสบเรื้อรัง”
ที่จะตามมา
ใช้เทคโนฯ ผ่าตัดแบบส่องกล้องแผลเดียว…
คราวนี้มาติดตามกันครับว่า
“คุณหมอราชันย์พัทธ์” กับผู้ป่วยคือ“คุณณภฎฬ” ได้เห็นพ้องต้องกันอย่างไรก่อนเข้ารับการผ่าตัด
โดยฝ่ายผู้ป่วยมีความเห็นว่า
“...เมื่อตำแหน่งของถุงน้ำดี
และไส้ติ่งอยู่ในท้องเหมือนกัน ไหน ๆ
ก็ได้ผ่าตัดแล้ว ผมจึงร้องขอให้คุณหมอช่วยผ่าตัดไส้ติ่งออกไปพร้อม ๆ กันเพราะเราไม่รู้หรอกว่าไส้ติ่งที่มีอยู่นั้นจะกำเริบมาเมื่อไหร่
ถือเป็นโอกาสดีทีเดียว ที่ได้ผ่าตัดครั้งเดียว แต่รักษาได้ถึง 2 ภาวะด้วยกัน...”
เมื่อผู้ป่วยแสดงความจำนงชัดเจนอย่างนั้นแล้วคุณหมอก็รับไปดำเนินการโดยอธิบายถึงเทคนิคการรักษาที่นำมาใช้ที่
รพ.ลานนา ซึ่งจะให้คำแนะนำแก่ผู้ป่วยที่เข้ารับผ่าตัดเพื่อเอาถุงน้ำดีออกเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่อาจตามมา
และตามที่ผู้ป่วยขอให้ผ่าตัดเอาไส้ติ่งออกนั้นได้พิจารณาว่าเป็นตำแหน่งที่อยู่ใกล้เคียงกัน
เป็นผลให้คุณหมอเลือกใช้เทคโนโลยีการรักษาแบบใหม่คือ “การผ่าตัดแบบส่องกล้องแผลเดียว”
ซึ่งต่างกับการส่องกล้องแบบเดิมที่ต้องเจาะรูบริเวณหน้าท้อง 3-4 แผล โดยการผ่าแบบใหม่จะลดจำนวนแผลผ่าตัดลงเหลือแผลเดียวที่บริเวณสะดือ
เนื่องจากมีความโค้งและยืดหยุ่นได้ดี
สามารถยืดเพื่อเปิดแผลให้กว้างขึ้นพอสำหรับสอดกล้องและอุปกรณ์ผ่าตัดขนาดจิ๋วผ่านเข้าไปผ่าตัดถุงน้ำดีและตัวไส้ติ่งออกได้จากแผลเดียวกัน!!!...
ซึ่งหลังจากการผ่าตัดผ่านพ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ฝ่ายผู้ป่วยเผยว่า
“...ผมลืมตาขึ้นมาอย่างสบายหลังจากผ่าตัดเสร็จไม่นาน
ไม่ปวดแผลมาก ไม่มีไข้ มีแค่อาการจี๊ด ๆ ที่ท้องบ้างแต่ลุกจากเตียงมาเดินเอง
เข้าห้องน้ำเองได้เลย นอนพักฟื้นที่โรงพยาบาลคืนเดียวก็กลับบ้านและใช้ชีวิตทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ
แค่เลี่ยงไม่ยกของหนักเท่านั้นเอง
ส่วนที่แผลผ่าตัดก็แทบจะมองไม่เห็นเพราะมันซ่อนอยู่ในสะดือหากไม่จ้องดูก็แทบจะมองไม่เห็นด้วยซ้ำ
ผลการรักษาดีมากครับ ตอนนี้ผมสามารถใช้ชีวิตได้อย่างเป็นปกติสุขแล้วครับ...”
อดีตผู้ป่วยกล่าวอย่างมีความสุข...ส่วน
“หมอจอแก้ว” ขอกล่าวด้วยความยินดีกับความสำเร็จของ โรงพยาบาลลานนา
ในการเติมความสุขให้กับเหยื่อของโรคภัยไข้เจ็บได้อย่างลงตัวครับ