ปวดท้องน้อยเฉียบพลันคิดว่า
“ไส้ติ่ง” เล่นงาน
มาอีกรายแล้วครับ...คุณสุภาพสตรีชาวเชียงใหม่ซึ่งมีนามว่า
“คุณพนารัตน์ เขตต์ทองคำ” ซึ่งได้เกิดอาการปวดท้องน้อยเฉียบพลันแต่เข้าใจไขว้เขวไปว่าเป็นเพราะ
“ไส้ติ่งอักเสบ” หรือมิฉะนั้นก็เกิดจาก “การมีรอบเดือน”
แต่มีความผิดปกติบางอย่างปนมาด้วยโดยเจ้าตัวเล่าว่า
“...ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้มีความผิดปกติใด ๆ
มากนัก มีแค่ช่วงประมาณ 1 เดือนที่ผ่านมา
ดิฉันมีอาการปวดท้องซึ่งคิดว่าเป็นอาการของการปวดท้องประจำเดือนทั่วไปที่ผู้หญิงเป็นกัน
แต่ครั้งนี้มีอาการรุนแรงมากกว่าครั้งก่อน ๆ รวมทั้งมีภาวะตกขาว
และมีกลิ่นร่วมด้วยทำให้เริ่มรู้สึกว่ามีอะไรไม่ปกติแน่ ๆ เพราะประจำเดือนหมดไปก่อนหน้านี้แล้ว
และพอดีกับที่ดิฉันชอบออกกำลังกายตอนเช้ากับเย็นเป็นประจำ แต่พอเริ่มขยับตัวก็จะปวดท้องขึ้นมาทันทีโดยไม่ทราบสาเหตุ
ล่าสุดได้เริ่มรู้สึกมีอาการผิดปกติประมาณตอน 4 ตี คือปวดท้องมากขึ้นมาทันที มีอาการแสบท้องคล้ายเป็นโรคกระเพาะ
มีอาเจียนร่วมด้วย โดยบริเวณที่ปวดอยู่ที่ท้องด้านขวาล่าง ก็คิดว่าเป็นเพราะไส้ติ่งอักเสบจึงรีบให้สามีพาไปที่
โรงพยาบาลลานนาตอนเช้าวันนั้นเลยค่ะ...”
หลังจากได้รับการนำไปเข้ารับการตรวจที่ห้องฉุกเฉินที่ห้องฉุกเฉิน ซึ่งคุณหมอได้ตรวจเบื้องต้นแล้วได้กดที่ท้องของ “คุณพนารัตน์” ตรงบริเวณที่ปวดและแจ้งว่าไม่น่าจะเข้าข่าย “ไส้ติ่งอักเสบ” ดังที่เข้าใจ จากนั้นได้ส่งตัวไปเข้ารับการตรวจด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ‘CT-scan 128 Slice’ จึงพบว่า...มีก้อนเนื้อบริเวณที่รังไข่ทั้งสองข้าง!!! จึงส่งต่อไปที่ “แผนกศูนย์สูตินรีเวชกรรม” เพื่อให้ได้รับการตรวจเพิ่มเติมจาก “แพทย์ผู้ชำนาญการด้านสูตินรีเวช” ประจำ “รพ.ลานนา” และต่อเนื่องไปสู่กระบวนการรักษาผู้ป่วยรายนี้ต่อไป
คุณหมอผู้ชำนาญด้านสูตินรีเวชที่รับผิดชอบการดูแลรักษาอาการให้กับบรรดาผู้ป่วยหญิงที่เผชิญปัญหาอาการเช่นเดียวกับ “คุณพนารัตน์” คือ “พญ.ภัทรามาส เลิศชีวกานต์” ได้ให้ข้อมูลที่ตรวจพบดังนี้
“...ผู้ป่วยรายนี้มาด้วยอาการปวดท้อง
ซึ่งหลังจากที่ได้มีการตรวจวินิจฉัยด้วยเครื่อง CT-scan แล้ว
ก็พบว่ามีเนื้องอกอยู่ตรงบริเวณรังไข่ข้างขวาของผู้ป่วย
จึงได้ทำการตรวจอัลตร้าซาวด์เพิ่มเติมในบริเวณของเนื้องอกที่รังไข่
ก็ทำให้รู้ถึงขนาดของเนื้องอกว่า มีเนื้องอกที่รังไข่ ข้างขวา 6 ซม.
โดยที่ผู้ป่วยมีอาการปวดท้องอย่างหนัก พบว่ามาจาก...ภาวะเนื้องอกในรังไข่บิดขั้ว...ซึ่งการบิดตัวจะทำให้เส้นเลือดโดนบิดไปด้วย
เลือดจึงไปเลี้ยงส่วนนั้นไม่ได้ และเมื่อขาดเลือดไปเลี้ยงนาน ๆ จะส่งผลให้เนื้อรังไข่บริเวณนั้นตาย
หากไม่ได้รับการรักษาอาจเกิดอันตรายได้มากขึ้น จึงแนะนำให้ผู้ป่วยเข้ารับการผ่าตัดเอารังไข่ด้านขวาออกค่ะ...”
ตอนนี้ “หมอจอแก้ว” ขอแทรกเนื้อหาเกี่ยวกับความก้าวหน้าในวงการแพทย์ปัจจุบันที่ได้ช่วยให้เกิดพัฒนาการทั้งในด้านเทคโนโลยีทางการแพทย์และเครื่องมือการรักษาที่ทันสมัย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ “การผ่าตัดโดยใช้กล้อง” มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาโดยแพทย์ไม่ต้องเปิดแผลใหญ่ที่หน้าท้องของผู้ป่วย
หากแต่ใช้วิธีเจาะรูขนาดประมาณ 0.5-1 ซ.ม.ที่ผิวหนังใกล้อวัยวะที่ต้องการผ่าตัดจำนวน
1-3 รู
เพื่อสอดเครื่องมือและกล้องขนาดเล็กเข้าไปเพื่อให้แพทย์เห็นบริเวณที่ต้องการผ่าตัดได้อย่างชัดเจนจากภาพที่ปรากฏบนหน้าจอรับภาพ
ส่งผลให้การผ่าตัดมีความเที่ยงตรงและแม่นยำโดยไม่กระทบต่ออวัยวะอื่นในส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องเหมือนดังเช่นการผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง
ซึ่ง “คุณหมอภัทรามาส” อธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมว่า
“...ข้อดีของการผ่าตัดเนื้องอกที่รังไข่ด้วยการส่องกล้องคือ
แผลผ่าตัดมีขนาดเล็ก จึงกระทบต่ออวัยวะภายในน้อยลงมากและเสียเลือดน้อยเมื่อเทียบกับการผ่าตัดแบบเดิม
จึงเท่ากับเป็นการลดโอกาสการเกิดภาวะแทรกซ้อนและลดการติดเชื้อหลังการผ่าตัด โอกาสเกิดพังผืดหลังการผ่าตัดก็น้อยลง
ช่วยให้ผู้ป่วยเจ็บตัวน้อย หายได้ไว ฟื้นตัวได้เร็ว
ใช้เวลาพักฟื้นไม่นานก็สามารถออกไปใช้ชีวิตประจำวัน ที่สำคัญอีกอย่างคือในแง่ความสวยงาม
คือผู้ป่วยจะมีแผลขนาดเล็ก ที่หน้าท้องน้อย 1-3 แผล ต่างจากการผ่าตัดแบบเปิดที่จะต้องมีรอยแผลเป็นแนวยาวที่ท้องน้อยหลังผ่าตัด
จึงอาจทำลายความมั่นใจของคุณผู้หญิงผู้ป่วยค่ะ...”
“เนื้องอก” อาจพัฒนาเป็น “เนื้อร้าย”
ในไม่ช้าไม่นาน
จะเห็นได้ว่าความก้าวหน้าทันสมัยของเทคโนโลยีการส่องกล้องผ่าตัดดังที่
“ศูนย์ผ่าตัดส่องกล้องมดลูก-รังไข่ โรงพยาบาลลานนา” นำเข้ามาใช้นี้มีส่วนช่วยลดการเจ็บตัวให้ผู้ป่วยด้วยโรคเนื้องอกในรังไข่ได้มากกว่าการผ่าตัดแบบดั้งเดิมเพียงใด
แต่ประเด็นสำคัญที่คุณผู้หญิงควรคำนึงอยู่เสมอว่าการปวดท้องที่เกิดขึ้นนั้นใช่ว่าจะเป็นเรื่องเล็ก
ๆ ง่าย ๆ เสมอไป และไม่อาจประเมินด้วยตัวเองว่าอาการปวดที่เกิดขึ้นนั้นมาจากสาเหตุใดจึงไม่ควรปล่อยไว้และให้รีบไปพบแพทย์เพื่อจะได้รับการรักษาอย่างตรงจุด
เพราะมีคุณผู้หญิงจำนวนไม่น้อยที่มิได้ให้ความสำคัญในกรณีเช่นเดียวกันนี้... “หมอจอแก้ว”
จึงใคร่ขอเตือนไว้นิดหนึ่งว่า “โรคเนื้องอกในรังไข่” อาจไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต
แต่มันมีโอกาสพัฒนาเป็นเนื้อร้ายในอนาคตได้ จึงฝากข้อคิดคำแนะนำจาก “คุณหมอภัทรามาส”
ไว้ด้วยเลยดังนี้ครับ
“...ขอให้สาว ๆ หมั่นสังเกตอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง
ไม่ว่าจะเป็นความผิดปกติของประจำเดือน ปัสสาวะบ่อยขึ้น ท้องผูก ท้องโตขึ้น
อืดแน่นท้อง หรืออาการปวดท้องเฉียบพลัน ซึ่งอาจเกิดจากภาวะแทรกซ้อนของเนื้องอก รวมทั้งควรไปตรวจสุขภาพและตรวจภายในอย่างสม่ำเสมอ
และเมื่อใดก็ตามที่พบว่ามีความผิดปกติควรไปพบแพทย์ทันทีจะเกิดผลดีมากกว่าค่ะ...”