นึกไม่ถึงว่าอายุยังน้อย...จะรอดพ้นทรมาน
ท่านผู้อ่านที่อยู่ในวัย
30 ต้น ๆ ลองถามเพื่อนรอบข้างดูซิว่ามีใครเคยเจอโรคปวดหลังทำพิษจนไม่สามารถออกไปทำการทำงานหรือไปไหนต่อไหนหรือไม่???
เอาเป็นว่าถ้าป้อนคำถามไปแล้วก็อาจได้คำตอบไม่ชัดเจนโดยอาจมีทั้งคนที่บอกว่าเคยปวด
และไม่เคยเดือดร้อนรำคาญกับเรื่องพรรค์นี้
ผลก็คือคนถามไม่อาจพึ่งพาเพื่อนคนไหนได้เพราะด้วยวัยขนาดนั้นย่อมยังมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงเป็นปกติเป็นส่วนใหญ่
หากจะมีปวดหลังบ้างก็อาจเป็นแค่ชั่วครั้งชั่วคราวจากการที่ไปใช้หลังผิดวิธี
หรือไปออกกำลังแบบฮวบฮาบจากที่ไม่เคยทำมาก่อน
หรืออื่นใดก็ตามซึ่งอาจหายไปในไม่กี่วันจึงทำให้สาวชาวเชียงใหม่รายหนึ่งซึ่งเพิ่งจะเริ่มมีวัยถึง
30
ปีได้ไม่กี่เดือนแต่ต้องมาแบกความทุกข์จากอาการปวดหลังรุนแรงแตกต่างไปจากคนรอบข้าง
เรื่องนี้เจ้าตัวคือ “คุณสรญา รัตนไตร” ได้เปิดใจเล่าว่า
“ไม่รู้เลยจริงๆ
ว่าเราปวดหลังเพราะสาเหตุอะไร? ถ้าเดาคือจริง ๆ แล้วน่าจะมาจากการที่เราทำงานมาตลอดตั้งแต่สมัยเรียน
เรียกได้ว่าเราทำงานไปด้วย เรียนไปด้วย พัฒนาตนเองเรื่อยมา ขยับขยายธุรกิจต่อยอดมาจนประสบความสำเร็จได้จนถึงทุกวันนี้
ซึ่งจากการที่เราทำงานหนักมาตลอดโดยไม่ได้ดูแลสุขภาพตัวเองเท่าที่ควรเนื่องจากคิดว่าอายุยังน้อยคงไม่เจอกับอาการปวดหลัง
แต่ดิฉันคิดผิดเพราะอาการปวดหลังของดิฉันตอนแรกยังไม่ได้มีอาการหนักมากมายขนาดนี้
เพราะคิดว่ามาจากการที่เราเดิน ยืน นั่งนาน ๆ
ก็น่าจะมาจากความเหนื่อยล้าจากการทำงาน แต่พอวันเวลาผ่านไป
อาการปวดหลังที่มีอยู่เริ่มรุมเร้าชีวิตของดิฉันเรื่อยมา จากเจ็บน้อย ๆ
ก็เริ่มเจ็บมากขึ้น เริ่มมีอาการชาร้าวลงขา เวลาทำงานนาน ๆ หรือ ยืน
เดินได้ไม่นานก็ต้องนั่งพัก เพราะทนความปวดไม่ไหว
จนหนักที่สุดถึงขั้นที่เดินเองไม่ได้เพราะทุกครั้งที่ก้าวเท้าไปจะเจ็บปวดทรมานเป็นที่สุด
เมื่อทนไม่ไหวต้องไปให้คุณหมอรักษาโดยไปที่ ศูนย์โรคปวดหลัง โรงพยาบาลลานนา
จ.เชียงใหม่ค่ะ”
อุปกรณ์การแพทย์ช่วยหา “รอยโรค”
นั่นคือการตัดสินใจที่ถูกต้องของสาวเชียงใหม่ผู้ขยันขันแข็งรายนี้
เพราะเมื่อไปถึงที่หมายแล้ว “คุณสรญา” ได้รับการตรวจโดย “นพ.เดชวัศวร์ ศิวัชพันธุ์ แพทย์ผู้ชำนาญการด้านกระดูกและข้อ ประจำศูนย์โรคปวดหลัง
โรงพยาบาลลานนา” และหลังจากเล่าถึงประวัติสุขภาพที่ผ่านมารวมถึงอาการปวดหลังพร้อมข้อสันนิษฐานของเจ้าตัวด้วยแล้ว
“คุณหมอเดชวัศวร์” ได้ส่งผู้ป่วยเข้ารับการตรวจเพิ่มเติมด้วยเทคโนโลยีตรวจร่างกายด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
หรือ MRI จึงช่วยให้เห็นพยาธิสภาพของโรคได้ชัดเจน
เช่น เส้นเอ็น หมอนรองกระดูก น้ำหล่อเลี้ยงกระดูกสันหลัง
และสภาวะภายในของกระดูกสันหลัง ซึ่งช่วยให้คุณหมอประเมินถึงสาเหตุของการอาการปวดหลังที่แท้จริงซึ่งก็คือ
“กระดูกสันหลังของผู้ป่วย รวมทั้งหมอนรองกระดูกสันหลังปลิ้นออกมากดทับเส้นประสาทสันหลัง”...
คราวนี้ก็ชัดเจนแล้วว่าเหตุใด “คุณสรญา” จึงมีอาการปวดหลังมาโดยตลอด
ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ อาการก็จะยิ่งหนักขึ้นเรื่อย ๆ ดังที่เจ้าตัวได้เล่าย้อนถึงประสบการณ์อันขมขื่นให้ทราบนั่นเอง...แลพภายหลังจากที่ทราบถึงที่มาสาเหตุของอาการปวดหลังแล้ว
“คุณหมอเดชวัศวร์” ก็ได้ให้การรักษาเบื้องต้นโดยให้ผู้ป่วยทำกายภาพบำบัด
และฉีดยารอบรากประสาทสันหลังเพื่อระงับอาการปวดที่เกิดขึ้น เนื่องจากผู้ป่วยอายุยังน้อย...แต่เมื่อให้การรักษาแบบนั้นแล้วไม่ช่วยให้อาการดีขึ้นเท่าที่ควร
คุณหมอจึงแนะนำให้ทำการรักษาโดยการผ่าตัดหลังในที่สุด
พร้อมทั้งยังอธิบายด้วยว่า...การผ่าตัดกระดูกสันหลังในปัจจุบัน
ไม่ใช่เรื่องใหญ่และน่ากลัวเหมือนในอดีต...ซึ่งหลายคนอาจเคยได้ยินเรื่องที่มีการเล่าขานต่อกันมานานเกี่ยวกับกรณีการผ่าตัดหลังตั้งแต่อดีต
เช่นมีการให้ข้อมูลว่าผ่าตัดหลังเสร็จแล้วต้องรอพักอีกนานกว่าจะทำงานได้เหมือนเดิม
หรือบางทีก็พูดว่าผ่าแล้วอาจจะกลายเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตได้ รวมทั้งเรื่องร่องรอยแผลผ่าตัดที่เห็นเป็นแนวยาวอยู่ด้านหลังก็น่ากลัว
จึงส่งผลให้ใครต่อใครเข็ดขยาดกับการผ่าตัดเรื่อยมา!!!
พ้นทุกข์ด้วยเทคโนฯ ผ่าตัดแผลเล็ก หายไว
ผิดกับในปัจจุบันซึ่ง
คุณหมอเดชวัศวร์” เผยว่าในวงการแพทย์ได้ก้าวหน้าไปมากโดยมีการคิดค้น “เทคโนโลยีการผ่าตัดหลังแบบแผลเล็ก”
หรือเรียกง่าย ๆ ว่า MIS ซึ่งย่อมาจากคำว่า Minimal Invasive Surgery แบบเดียวกับที่ “ศูนย์โรคปวดหลัง โรงพยาบาลลานนา ได้นำมาใช้รักษาผู้ป่วยโรคปวดหลังโดยเป็นเทคนิคที่ต่างจากเมื่อก่อนตรงที่คุณหมอจะเปิดแผลขนาด
2-3 ซม. อันเป็นผลให้ผู้ป่วยเสียเลือดระหว่างการผ่าตัดน้อย กล้ามเนื้อบอบช้ำน้อย
จึงทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้ไวกว่า และกลับบ้านได้เร็วมากขึ้น
ซึ่งต่างจากการผ่าตัดแบบดั้งเดิมที่ต้องเปิดแผลขนาดประมาณ 5 – 10 ซม.เพื่อทำการผ่าตัดรักษา...
หลังจากที่ “คุณสรญา” ได้เข้ารับการผ่าตัดด้วยเทคโนโลยีใหม่นี้แล้ว เจ้าตัวบอกเลยว่า
“เหมือนยกภูเขาออกจากอก เพราะความเจ็บปวดทรมานที่เคยมีอยู่ตลอด
มันได้ลดน้อยถอยไปอย่างรวดเร็ว จนดิฉันรู้สึกเหมือนได้ชีวิตใหม่
นอนพักฟื้นที่โรงพยาบาลเพียง 2 คืนก็สามารถกลับบ้านได้แล้ว
หลังจากนั้นไม่กี่อาทิตย์ ดิฉันก็สามารถกลับไปดำเนินธุรกิจของดิฉันได้ตามปกติค่ะ...และจากประสบการณ์นี้ทำให้ดิฉันคิดว่าต่อไปต้องดูแลรักษาสุขภาพของตัวเองให้มากขึ้น
ไม่ยกของหนัก ไม่นั่งยืนเดินนาน ไม่โหมทำงานหนักเกินไป
รวมทั้งปฏิบัติตามคำแนะนำของคุณหมออย่างเคร่งครัด
เพราะการมีสุขภาพดีไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ได้อยู่กับครอบครัวอันเป็นที่รัก
ถือเป็นความสุขอย่างที่ดิฉันต้องการค่ะ...”
ต้องขอขอบคุณผู้ป่วยสาวรายนี้ที่ได้ช่วยให้ความกระจ่างเกี่ยวกับการขจัดโรคปวดหลังของเธอสำหรับเป็นข้อมูลความรู้แก่ชาวเชียงใหม่และชาวเหนืออีกหลายต่อหลายคนที่ยอมทนทุกข์ทรมานกับอาการปวดหลังเพราะไม่ทราบถึงความก้าวหน้าของวิทยาการทางการแพทย์ที่ก้าวหน้าดังเช่นการผ่าตัดรักษาโรคปวดหลังดังที่
ศูนย์โรคปวดหลัง โรงพยาบาลลานนา นำมาใช้ในกรณีของ “คุณสรญา” นั่นเอง
หมอจอแก้ว